การออกแบบ ของ ไลท์นิง (ไฟนอลแฟนตาซี)

โมโทมุ โทริยามะ เป็นผู้รับผิดชอบบุคลิกภาพโดยรวมของไลท์นิง

ไลท์นิงเป็นตัวละครที่สร้างโดย โมโทมุ โทริยามะ ผู้ออกแบบตัวละครเกม ไฟนอลแฟนตาซี XIII และ ไฟนอลแฟนตาซี X[2][3] และเขียนแบบโดย เท็ตสึยะ โนมูระ นักวาดภาพตัวละครประจำเกมชุด ไฟนอลแฟนตาซี พร้อมกับนักออกแบบอีกหลายคน[3] โทริยามะเคยกล่าวไว้ว่า การร่างภาพของโนมูระครั้งแรกนั้น "ดูดีและมีพลังมากถึงขนาดที่ไม่ต้องแก้ไขอีก"[4] และเนื่องจากคุณภาพกราฟิกของ ไฟนอลแฟนตาซี XIII ที่ก้าวหน้ากว่าเกมรุ่นเก่า ทำให้โนมูระสามารถเพิ่มรายละเอียดของไลท์นิงได้มากกว่าตัวละครอื่นที่เขาเคยออกแบบมา อาทิเช่น การออกแบบผ้าคลุมและรายละเอียดต่าง ๆ บนใบหน้า[5] ทำให้เขาต้องใช้เวลากับการพัฒนามากขึ้น[6] ซึ่งในช่วงแรกของการออกแบบ โนมูระเคยอธิบายว่าเธอเป็นตัวละครที่ดูเหมาะสมดีในเชิงที่ว่าเธอนั้นดูจริงจังและดุดัน แต่ทว่าเขาไม่สามารถทำให้ไลท์นิงมีความเป็นชายมากไปเนื่องจากกลัวว่าผู้เล่นจะเสียความรู้สึก[3] จุดเด่นของไลท์นิงจากการออกแบบรุ่นแรก ๆ คือสีผมบลอนด์ปนเทาและใบหน้าที่คล้ายกับคนเอเชีย ต่อมาในการร่างภาพรุ่นหลัง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงใบหน้าของเธอให้ดูมีความเป็นตะวันตกมากขึ้นและมีการเปลี่ยนสีผมของเธอให้เป็นสีชมพู โดยสีเดิมของเธอนั้นได้นำไปใช้กับตัวละครตัวอื่นแทน[3][7] ส่วนเหตุผลในการเปลี่ยนสีผมและใบหน้าของไลท์นิงนั้นมาจากความต้องการที่จะให้เธอแลดูมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้นและให้ดูเหมาะสมกับรูปร่างของตน[3] การเรนเดอร์ตัวละครของเธอโดยใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกนั้นเป็นไปอย่างง่ายดายเนื่องจากแบบร่างของเธอมีรายละเอียดอยู่มาก[8]

ชื่อจริงของไลท์นิงคือ แคลร์ ฟาร์รอน (Claire Farron) ในภาษาอังกฤษ และ เอแคลร์ ฟาร์รอน (Éclair Farron; ญี่ปุ่น: エクレール・ファロン; โรมาจิ: Ekurēru Faron) ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงแรก ๆ ของการผลิต ชื่อจริงของไลท์นิงคืออาเวเรีย ส่วน "เอแคลร์" จะใช้เป็นชื่อลับเท่านั้น แต่ปรากฏว่ามีการใช้ชื่อนี้เป็นชื่อทางการแทน[9] ชื่อภาษาอังกฤษของเธอ "แคลร์" นั้นใช้แทน "เอแคลร์" เนื่องจากชื่ออย่างหลังมีความคล้ายคลึงกับขนมชนิดหนึ่ง[10] ส่วนชื่อ "ไลท์นิง" นั้นไม่ได้เลือกโดยโนมูระ แต่เลือกจากสมาชิกในทีมพัฒนาคนอื่นเพราะเขาต้องการละทิ้งธรรมเนียมที่ต้องเป็นผู้ตั้งชื่อตัวละครหลักใน ไฟนอลแฟนตาซี มาโดยตลอด[3] นอกจากนี้ทางทีมยังมีแผนสร้างบ้านพักส่วนตัวของไลท์นิงในภาค XIII แต่ความคิดนี้ถูกละทิ้งในภายหลังเนื่องจากพื้นที่ในเกมไม่เพียงพอ[11] อาวุธของเธอในภาคนี้มีชื่อว่า เบลซ์ไฟร์ เซเบอร์ (Blazefire Saber) ในฉบับอังกฤษ (หรือเบลซ์เอดจ์ (Blaze Edge) ในฉบับญี่ปุ่น) ที่ออกแบบมาโดยสะท้อนถึงระบบการเล่นของเกมที่มีการอัญเชิญเอโดลอน หรือเหล่ามอนสเตอร์ที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างให้กลายเป็นสัตว์ มนุษย์ หรือยานพาหนะได้[12] ส่วนโอดินที่เป็นเอโดลอนของไลท์นิงและเป็นมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวบ่อยครั้งในไฟนอลแฟนตาซี ภาคอื่นนั้น ได้ออกแบบมาเพื่อให้ไลท์นิงดูคล้ายกับอัศวินบนหลังม้า และมีการออกแบบโอดินให้ดูราวกับว่าเหมือนเป็นพ่อพระของไลท์นิง[13] ในภาคต่อของภาค XIII นั้น โอดินได้รับการพัฒนาให้เป็นเพื่อนที่ไลท์นิงสามารถอธิบายความรู้สึกแก่นแท้ของเธอได้[14] ไดซุเกะ วะตะนะเบะ นักเขียนบทของสแควร์เอนิกซ์ กล่าวว่าในระหว่างที่เขากำลังเขียนบทสำหรับภาค XIII นั้น เขามีความสนใจในการสร้างความสัมพันธ์แบบไม่โรแมนติกระหว่างไลท์นิงกับสโนว์ (ตัวละครหลักอีกตัวของภาค XIII) และเขาต้องการแสดงพัฒนาการของไลท์นิงให้ดูมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นระหว่างที่เธอกำลังปกป้องโฮป[15]

เนื่องจากความต้องการของทีมพัฒนาที่อยากปรับปรุงบุคลิกของไลท์นิงให้ดีขึ้น จึงมีการสร้างภาคต่อของภาค XIII ขึ้นมา โดยในเกมนี้จะกล่าวถึงคำถามที่ว่าไลท์นิงจะมีความสุขหรือไม่หลังจากเหตุการณ์ในภาค XIII สิ้นสุดลง[16] ซึ่งโทริยามะกล่าวว่าต้องการสร้างตอนจบตามความปรารถนาของไลท์นิง[17] ชุดของไลท์นิงใน ภาค XIII-2 นั้นออกแบบโดย อิซามุ คามิโกกูเรียว เขาทำงานจากภาพร่างของโนมูระที่เคยบอกกับเขาว่าลักษณะของเธอควรเป็นอย่างไร[18] ชุดของเธอนั้นออกแบบมาแล้วหลายครั้งโดยคะมิโกะกุเรียว ไม่ว่าจะเป็นชุดกี่เพ้าหรือชุดตามนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ก็ถูกลบออกไปในภายหลังเนื่องจากไม่เข้ากับบรรยากาศของเกม ซึ่งชุดแบบสุดท้ายที่จะใช้ในเกมนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากวาลคิรีในเทพปกรณัมนอร์ส[19] โดยแนวคิดของชุดนี้คือจะต้องสามารถสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวของไลท์นิงได้[20] สังเกตได้จากขนนกรอบชุดที่บ่งบอกถึงความเบาบาง ความละเอียดอ่อน และพลังของเธอ[19][21] ทำให้เธอได้รับการเชิดชูว่าอยู่เหนือขีดศักยภาพมนุษย์และทำให้เธอดูแตกต่างจากคนทั่ว ๆ ไป[22]

ชุดของเธอในภาค ไลท์นิงรีเทิร์น นั้นออกแบบโดยโนมูระ ซึ่งโทริยามะเคยกล่าวกับเขาไว้ว่าอยากสร้างบางอย่างที่ดูเหมาะสมกับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายโดยมี "พละกำลัง" เป็นจุดสำคัญ ชุดของเธอนั้นทำมาจากหนังสัตว์โดยมีความยาวตั้งแต่คอเสื้อจนถึงส่วนล่าง มีลายสีแดงและขาวสลับไปมาตามปกเสื้อ[23][24] ชุดที่โนมูระออกแบบนั้นเป็นที่ชื่นชอบของคะมิโกะกุเรียวมากกว่าจากชุดอื่น ๆ ที่ออกแบบโดย โทะชิยุกิ อิตะฮะนะ, โทะชิทะกะ มะสึดะ, หรือแม้กระทั่งตัวเขาเอง[25][23][26] ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการนำแรงบันดาลใจมาจากตัวละครใน ไฟนอลแฟนตาซี รุ่นเก่า และ โยะชิทะกะ อะมะโนะ นักออกแบบคนก่อนแทบทั้งสิ้น[27] และเพื่อเป็นการเสริมรายละเอียดให้กับชุดใหม่ โมเดลของไลท์นิงจึงได้รับการพัฒนาใหม่ทั้งหมด[28] มีการขยายหน้าอกของเธอให้ใหญ่ขึ้นและชุดหลาย ๆ ชุดของเธอก็ปรับเปลี่ยนใหม่ให้ดูมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น[22] สำหรับฉากจบของเกม โทริยามะคาดหวังให้ไลท์นิงไปปรากฏในฉากที่เหมือนกับชีวิตประจำวันในชุดลำลองปกติ บุคลากรในทีมเสนอให้จบเกมด้วยฉากไลท์นิงคุยกับเพื่อนพ้อง แต่โทริยามะอยากให้เรื่องเริ่มต้นและจบลงด้วยเธอเพียงคนเดียว[14] เขากล่าวว่าไลท์นิงเป็นตัวละครหลักเพียงคนเดียวใน ไลท์นิงรีเทิร์น และเป็นตัวละครหลักเพศหญิงตัวแรกที่ได้มาอยู่ในแฟรนไชส์ ไฟนอลแฟนตาซี[29][lower-alpha 1]

อิทธิพล

โทริยามะต้องการให้ไลท์นิงเป็นตัวละครหญิงที่ไม่เคยปรากฏใน ไฟนอลแฟนตาซี มาก่อน ดังเช่นผู้หญิงที่แข็งแกร่งและมีรูปร่างกำยำราวกับผู้ชาย[2][30] ข้อแนะนำที่เขาส่งไปหาโนมูระนั้นมีใจความว่า อยากให้เธอดูแข็งแรงและสวยสง่าเหมือนกับ คลาวด์ สไตรฟ์ ตัวละครจาก ไฟนอลแฟนตาซี VII ในฉบับผู้หญิง[2][3] ซึ่งโทริยามะได้พูดถึงความคล้ายคลึงของตัวละครทั้งสองว่ามีจุดเหมือนกันอยู่สองอย่าง นั่นคือบุคลิกที่เย็นชาและประวัติทางการทหาร สิ่งที่นอกเหนือจากนั้น "ไลท์นิงก็จะเป็นตัวของเธอเอง"[31] โนมูระวิเคราะห์ตัวละครทั้งสองก่อนถึงกำหนดการปล่อย ไลท์นิงรีเทิร์น ในฉบับญี่ปุ่นว่าเขา "ต้องการที่จะให้เธอค่อย ๆ มีการพัฒนาและเป็นที่รักของใครหลาย ๆ คนเหมือนคลาวด์" [24] โทริยามะได้กล่าวเสริมว่า จากตัวละครเกมทั้งหมดที่เขามีส่วนร่วมในการผลิตและออกแบบ ไลท์นิงเป็นตัวละครหญิงที่เขาชื่นชอบมากที่สุดจากเกมทั้งหมด ซึ่งตัวละครที่เขาชอบรองลงมาคือยูนะจาก ไฟนอลแฟนตาซี X และโยโย่จากบาฮามุทลากูน[4]

บุคลิกภาพ

อาลี ฮิลลิส นักแสดงชาวอเมริกันผู้รับบทพากย์ไลท์นิงในภาษาอังกฤษ[32]

ตรงกันข้ามกับเกมชุด ไฟนอลแฟนตาซี อื่น ๆ ที่จะมีการสร้างตัวละครหลังจากที่บทเกมเขียนเสร็จ โทริยามะได้คิดบุคลิกภาพและอุปนิสัยของไลท์นิงเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว[4] ไลท์นิงเป็นคนที่เย็นชาและชอบทะเลาะกับสโนว์อยู่บ่อยครั้งเนื่องจากเขาก็เป็นคนตรงไปตรงมาเช่นกัน[31] โนมูระกล่าวว่าไลท์นิงมี "องค์ประกอบที่ลึกลับเกี่ยวกับตัวเธอ"[33] เดิมทีนั้นเธอมีบุคลิกดั่งผู้หญิงเจ้าชู้ที่ชอบเกี้ยวพาราสีผู้ชาย แต่ภายหลังบุคลิกแบบนี้ได้ย้ายไปยัง โอร์บายูน ฟังก์ แทนเมื่อฟังก์ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากเพศชายเป็นเพศหญิง[34] สำหรับภาค ไลท์นิงรีเทิร์น ผู้ผลิตเกมมีความเห็นว่าอยากจะนำเสนอด้านดีของไลท์นิงบ้างเพื่อให้มีความแปลกใหม่และตรงข้ามกับบุคลิกของเธอในภาคก่อน หนึ่งในจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือ ไลท์นิงนั้นเป็นตัวละครที่สูญเสียหลายสิ่งในชีวิต จึงทำให้จิตใจของเธอเปราะบาง[35] ผู้ออกแบบ ยุจิ อะเบะ กล่าวเสริมว่า เนื่องจากความสูญเสียและจิตใจอันเปราะบางของเธอ ทำให้ไลท์นิงค้นพบด้านมืด จึงเมินเฉยต่อสิ่งต่าง ๆ รอบกายเธอโดยปริยาย และทำให้เธอ "เหมือนกับหุ่นเชิดที่ไม่มีตัวตนของตัวเองอยู่ภายใน" นอกจากนี้เขายังกล่าวอีกว่าบุคลิกแบบนี้แสดงถึง "ความอ่อนแอที่เธอมีและเป็นจุดสำคัญที่เธอต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง"[36] ซึ่ง โยะชิโนะริ คิตะเซะ เป็นผู้ริเริ่มความคิดให้ไลท์นิงพัฒนาตนเองจากข้อเสียเหล่านี้เนื่องจากเขากังวลว่าความเย็นชาของเธอที่สุดโด่งนั้นจะทำให้ผู้เล่นไม่สามารถรู้สึกเป็นมิตรกับเธอ[37]

ไลท์นิงได้รับการพากย์เสียงโดย อาลี ฮิลลิส ในฉบับภาษาอังกฤษ และ มายะ ซากาโมโตะ ในฉบับภาษาญี่ปุ่น[1] ซะกะโมะโตะนั้นประทับใจที่ไลท์นิงดูมีพลังและเย็นชา แต่ก็พบว่าเป็นเรื่องที่ลำบากมากเช่นกันที่จะพากย์เสียงไลท์นิงเนื่องจากเธอล้วนมีแต่ประสบการณ์กับตัวละครที่มีนิสัยอ่อนช้อยดังเช่น แอริธ เกนส์เบอรู ตัวละครหลักใน ไฟนอลแฟนตาซี VII ซึ่งเธอได้รับมอบหมายให้พากย์เสียงไลท์นิงโดยไม่ให้เปิดเผยถึงความเปราะบางของไลท์นิงที่ซ่อนอยู่ภายในและให้ใช้พละกำลังและรูปร่างอันดุดันของไลท์นิงเป็นตัวปิดบัง[38] คิตะเซะกล่าวว่าการที่ให้ซะกะโมะโตะมาพากย์เสียงนั้นเป็นเพราะเขาเชื่อว่าเธอจะสามารถดึงศักยภาพของความเป็นเพศหญิงของไลท์นิงให้ออกมาได้ และเพื่อให้ความเป็นผู้หญิงกับความเป็นนักรบนั้นสมดุลกัน[39] ฮิลลิสได้รับมอบหมายหลังจากที่เธอพูดบทสนทนาของตัวละครบางประโยคในรอบการคัดเลือก และได้รับหนังสือที่เล่าถึงจักรวาลของ ไฟนอลแฟนตาซี XIII ที่เธอกล่าวว่าข้อมูลภายในนั้นดู "ละเอียดมากเกินไป" หนึ่งในความท้าทายที่ฮิลลิสได้พบคือการนำเสนออารมณ์และพลังของซะกะโมะโตะในฉบับญี่ปุ่น[40] เธอพยายามช่วยทีมผู้ผลิตของภาค XIII โดยการนำเสนอความเป็นมนุษย์ของไลท์นิงให้ได้มากที่สุด ตามบทสัมภาษณ์ที่เธอเคยกล่าวไว้ว่า "ฉันคิดว่านี่เป็นหน้าที่หลักของฉันที่จะให้ไลท์นิงเป็นคนที่มีอารมณ์จริง ๆ ไม่ใช่แค่เป็นเพียงตัวละครภายในเกมเท่านั้น เธอควรมีความสัมพันธ์กับตัวละครทุกตัวในเกม... รวมทั้งโจโคโบะด้วย!" และในการพัฒนาภาค XIII นั้นเธอได้กล่าวอีกว่ารู้สึกเหมือนไลท์นิง "มีบุคลิกที่ถูกถาโถมใส่เข้ามาเยอะเกินไป ทำให้ทุก ๆ อย่างเกี่ยวกับเธอดูแข็งทื่อไปหมด และถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอจะกลายเป็นนักรบจริง ๆ และจะหมดความเป็นมนุษย์ในเร็ววัน"[32]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ไลท์นิง (ไฟนอลแฟนตาซี) http://www.1up.com/do/reviewPage?pager.offset=1&cI... http://www.1up.com/news/e3-2008-xiii-interview http://www.1up.com/news/ffxiii-interview http://www.1up.com/news/motomu-toriyama-talks-maki... http://www.1up.com/news/snake-beats-mario-coolest-... http://www.afterellen.com/25-hottest-female-video-... //www.amazon.com/dp/B004MZKZJK http://andriasang.com/compje/3rd_birthday_dev_inte... http://andriasang.com/comtou/ffxiii_and_fnc_interv... http://andriasang.com/comtqv/nomura_other_games/